หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 การเจริญเติบโต

สารบัญ

เรื่องที่  <<   2   >>

หน่วยที่ 1

หน่วยที่ 2 หน่วยที่ 3 หน่วยที่ 4 หน่วยที่ 5 เว็บบอร์ด

เรื่องที่ 1  การเจริญเติบโตและพัฒนาการให้เติบโตสมวัย

              การเจริญเติบโตและพัฒนาการของเด็กทารกและเด็กแต่ละวัยเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องให้ความสนใจ เพราะเป็นวัย
เริ่มต้นเมื่อกำเนิดมา การดูแลเอาใจสีอย่างถูกต้องจะทำให้วัยทารกและวัยเด็กมีการเจริญเติบโตและพัฒนาการที่สมบูรณ์ส่งผล
ให้มีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่สมบูรณ์แข็งแรงอีกด้วย
              เด็กจะเจริญเติบโตตั้งแต่อยู่ในครรภ์กระทั่งหลังคลอด ร่างกายและสมองจะเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วง 0-6 ปี แรกของชีวิต ขบวนการที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง คือ การเจริญเติบโต และพัฒนาการ
             พัฒนาการ หมายถึง กระบวนการเปลี่ยนแปลงด้านวุฒิภาวะ (maturity) ของอวัยวะระบบต่างๆและตัวบุคคล ทำให้เพิ่ม ความสามารถของระบบและบุคคลให้ทำหน้าที่ต่างๆได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงขึ้น ทำสิ่งที่ยากและซับซ้อนยิ่งขึ้นได้ ตลอดจนการเพิ่ม ทักษะใหม่และความสามารถในการปรับตัวในภาวะใหม่ของบุคคลนั้น
พัฒนาการของเด็ก จะแบ่งออกเป็น 6 ด้านดังนี้      
    1. พัฒนาการด้านร่างกาย

    2. พัฒนาการด้านการรับรู้

    3. พัฒนาการด้านสติปัญญา
    4. พัฒนาการด้านภาษา
    5. พัฒนาการด้านอารมณ์
    6. พัฒนาการด้านสังคม

            พฤติกรรมและทักษะชีวิตของมนุษย์ได้จากการเรียนรู้และการสะสมประสบการณ์ การเรียนรู้ทักษะบางอย่างจะง่ายและ ประสบความสำเร็จในช่วงเวลาหนึ่งมากกว่าอีกเวลาหนึ่งและสังคมจะคาดหวังให้เด็กแต่ละคนทำพฤติกรรมที่เหมาะสมให้ได้ ในแต่ละช่วงอายุของบุคคล

พัฒนาการที่สำคัญในแต่ละวัย

วัยทารก (0-2 ปี)    
อายุ 0-6 สัปดาห์ เด็กมองหน้าแม่ ทำเสียงในลำคอ ฟังเสียงคุยแล้วยิ้มตอบ
อายุ 4-6 เดือนจำหน้าแม่ได้ ส่งเสียงอ้อแอ้และยิ้มตามเสียง เด็กสามารถเอื้อมคว้าจับสิ่งของมาเข้าปาก
อายุ 6-9 เดือนสามารถแยกเสียงของแม่ได้ เริ่มแยกแยะความสัมพันธ์กับผู้อื่นได้ชัดเจน เด็กจำหน้าแม่ได้ เด็กจะแสดงอาการแปลกหน้ากับผู้ที่ไม่ คุ้นเคย และจะติดแม่ เรียกว่า กลัวคนแปลกหน้า (Stranger anxiety)
อายุ 9-12 เดือนเด็กมีความผูกพันใกล้ชิดกับผู้เลี้ยงดู (Attachment)และจะติดผู้เลี้ยงดู เมื่อต้องแยกจากพ่อแม่/ผู้เลี้ยงดู เด็กจะร้องไห้และร้องตาม เมื่อพ่อแม่ผู้เลี้ยงดูกลับมา เด็กจะแสดงความดีใจโผเข้าหาและเข้ามาคลอเคลีย เด็กวัยนี้จะเริ่มกลัวการพลัดพราก (Separation anxiety)
 
อายุ 12-18 เดือน เด็กหัดเดินและชอบสำรวจ ระยะนี้เด็กจะกระตือรือร้นที่จะสำรวจสิ่งแวดล้อมค้นหาสิ่งแปลกใหม่เด็กมัก จะใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้าในการสำรวจตรวจตรา ดังนั้นควรระมัดระวังสิ่งที่เป็นอันตราย - ในวัยนี้เด็กจะทดสอบสิ่งต่างๆ และดูผลของการกระทำต่อสิ่งแวดล้อม เช่น ถ้าพอใจเด็กจะโยนของเล่น ว่าจะตกลงมาอย่างไร ถ้าพอใจเด็กจะโยนซ้ำ ถ้าไม่พอใจเด็กจะหยุดหรือหาวิธีอื่นๆ บางครั้งเด็กจะกรีดร้องจะเอาของมาโยนอีก - เด็กเริ่มพูดได้ เป็นคำๆอย่างน้อย 10 คำ
อายุ 18-24 เดือน- เด็กเรียนรู้ภาษาอย่างรวดเร็ว และจดจำคำศัพท์ได้ดี
อายุ 2-3 ปี - เด็กเคลื่อนไหวได้ดีขึ้น - เด็กรู้ว่าตนเองเป็นบุคคลหนึ่งที่แยกจากสภาพแวดล้อม ทำให้เด็กต้องการเป็นตัวของตัวเอง เด็กจะ พยายาม ทำทุกอย่างด้วยตัวเอง เช่น จับช้อนตักอาหารเอง เด็กจึงมีพฤติกรรมต่อต้าน (Negativism) ชอบพูดว่า “ไม่” “ไม่เอา” “ไม่ทำ” เป็นต้น

อายุ 3-5 ปี พัฒนาการด้านร่างกาย  เด็กบังคับกล้ามเนื้อได้ดีขึ้น เด็กชอบปีนป่ายเตะบอล รักลูกบอล ชอบเล่นในสนาม เด็กสามารถขี่ จักรยานสามล้อได้ พัฒนาการด้านสติปัญญา- เด็กเชื่อว่าสิ่งของทุกอย่างมีชีวิติ (Animism) เด็กชอบเล่นสมมุติโดยจะเอาตุ๊กตาตามมาเล่นแล้วสมมุติ เป็นพ่อแม่ลูก แสดงท่าป้อนข้าวลูก อาบน้ำแต่งตัวให้ลูก แสดงเป็นเรื่องราวเหมือนว่าตุ๊กตาเป็นสิ่งมีชีวิต - เด็กเชื่อว่าทุกสิ่งในโลกมีจุดหมาย เด็กมักถามว่า “ทำไม” “ทำไมรถจึงวิ่ง” ฯลฯ - เด็กจะเชื่อมโยงปรากฎการณ์ 2 อย่างที่เกิดขึ้นพร้อมกันว่าเป็นเหตุและเป็นผลซึ่งกันและกัน
พัฒนาการด้านภาษา พัฒนาอย่างรวดเร็ว เด็กชอบใช้คำถาม “นั่นอะไร” “นี่อะไร” “พ่อไปไหน” เด็กสามารถเข้าใจ คำสั่งง่ายๆได้ เด็กอายุ 4 ขวบชอบใช้คำถาม “ทำไม”
พัฒนาการด้านอารมณ์ เด็กเริ่มมีลักษณะอารมณ์แบบผู้ใหญ่ คือ โกรธ อิจฉา กังวล ก้าวร้าว พอใจ เป็นต้น เด็กจะแสดงความโกรธ ด้วยการกรีดร้อง ดิ้นกับพื้น หรือทำร้ายตัวเองแสดงความอิจฉาเมื่อมีน้องใหม่เวลาเล่นสนุกๆก็จะแสดง ความพอใจ แต่เมื่อได้ยินเสียงฟ้าร้องเด็กก็จะกลัว
พัฒนาการด้านสังคม เด็กสามารถช่วยเหลือตนเองได้ดีขึ้น อาบน้ำ แต่งตัว ใส่รองเท้าเอง บอกเวลาจะถ่ายได้ ถอดกางเกง เข้าห้องน้ำเอง และทำความสะอาดหลังขับถ่ายได้ - เด็กเรียนรู้ที่จะปฏิบัติตัว เพื่อให้สังคมยอมรับ ทำตัวให้เข้ากลุ่มได้ รู้จักให้ รับ รู้จักผ่อนปรน รู้จักแบ่งปัน เด็กเรียนรู้จากคำสอน คำอธิบายและการกระทำของพ่อแม่ เด็กรู้สึกละอายใจเมื่อทำผิด เด็กเริ่มรู้จักเห็นใจ ผู้อื่น เมื่อเห็นแม่เสียใจเด็กอาจเอาตุ๊กตามาปลอบ เป็นต้น
พ่อแม่ควรฝึกหัดและส่งเสริมให้เด็กวัยอนุบาลได้ช่วยเหลือตนเอง เช่น รับประทานอาหาร อาบน้ำ แต่งตัว การขับถ่าย เป็นต้น
เด็กอายุ 1-5 ปี อาจติดสิ่งของบางอย่าง เช่น ผ้าห่ม ตุ๊กตา เด็กจะนำสิ่งของเหล่านี้ติดตัวไปด้วยทุกแห่ง หรือเข้านอน ด้วยการนำมาอุ้ม กอด และถือไว้ ใช้สำหรับปลอบใจ ทำให้รู้นึกมั่นใจและสบายใจ โดยเฉพาะเวลาที่ต้องห่างจากแม่ เวลาไม่สบายหรือ เวลาเข้านอน เพื่อทดแทนความสัมพันธ์ที่ห่างเหิน และเด็กก็เริ่มไปมีความสัมพันธ์กับผู้อื่น สิ่งของเหล่านี้เรียกว่า Trasitional – object
            การเลี้ยงดูที่เหมาะสมจะทำให้เด็กพัฒนาไปได้ดี ในขณะเดียวกัน สังคมก็จะคาดหวังเกี่ยวกับพฤติกรรมของเด็กในแต่ละวัย ซึ่ง เราเรียกว่า งานพัฒนาการ (Deelopmental task) ถ้าเด็กสามารถทำได้ตามขั้นตอนพัฒนาการเด็กจะยอมรับนับถือตนเอง ได้รับ การยอมรับจากผู้อื่นและเด็กก็จะมีความสุขตามมา เมื่อเด็กมีความสุข เด็กจะมีกำลังใจ มีแรงจูงใจในการทำงานตามที่มุ่งหวัง และ สามารถทนต่อความขัดแย้งได้ดี ทำให้ประสบความสำเร็จตามมา ถ้าเด็กไม่สามารถทำได้ตามขึ้นตอนพัฒนาการ เด็กจะรู้สึกเป็นปมด้อย และจะทำงานในขั้นตอนพัฒนาการที่สูงขึ้นได้ยาก
           การเจริญเติบโตที่สมวัย  เป็นความสัมพันธ์ระหว่างอายุกับน้ำหนักตามเกณฑ์มาตรฐาน และความสัมพันธ์ระหว่างอายุ
กับส่วนสูงตามเกณฑ์มาตรฐาน
           ข้อแนะนำของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เกี่ยวกับการเจริญเติบโตสมวัยมีดังนี้
           1.รับประทานอาหารมือหลักให้ครบ 3 มื้อ และครบ 5 หมู่ในแต่ละวัน อาหารมื้อเข้าเป็นเมื่อที่สำคัญของเด็กวัยเรียนเพราะ
สมองต้องใช้พลังงานในการเรียนรู้ตลอดเวลาทั้งวัน
           2.ดื่มนมวันละ1-2แก้วเป็นประจำ ซึ่งนมมีคุณค่าทางโภชนาการสูง คือ มีโปรตีนแคลเซียม เพราะแคลเซียมในนมเป้นแคลเซียมที่มีคุณภาพ นมจึงช่วยให้นักเรียนมีรูปร่างเจริญเติบโตสูงใหญ่และแข็งแรง
           3.ออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาอย่างต่อเนื่อง เป็นเวลาอย่างน้อย 20 นาทีและสม่ำเสมอไม่ต่ำกว่าสัปดาห์ละ 3 ครั้ง การ
ออกกำลังกายจะทำให้ร่างกายแข็งแรงไม่เจ็บป่วยบ่อยและที่สำคัญจะช่วยให้ร่างกายสูงใหญ่
ข้อแนะนำสำหรับนักเรียนที่มีปัญหา "ความอ้วน"   เป็นภาวะที่เกิดจากไขมันสะ
สมตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายมากเกินปกติ มีสาเหตุจากรรับประทานอาหาร
มากเกินความต้องการของร่างกาย ขาดการออกกำลังกาย หรืออาจเกี่ยวข้อง
พันธุกรรม หรืออาจเกิดจากโรคประจำตัว
 
แต่สาเหตุของภาวะ "อ้วน"ส่วนใหญ่มาจากรับประทานอาหารมากเกินความต้องการของร่างกาย นักเรียนที่ "อ้วน" ควรปฏิบัติตน ดังนี้
1.ลดอาหารที่มีน้ำตาลทุกชนิด เช่นขนมหวาน ผลไม้ที่หวานจัด น้ำอัดลม
2.ลดเนื้อสัตว์ติดมน และอาหารประเภทไขมันที่ได้จากสัตว์ เช่น น้ำมันหมู เนย
อาหารทอดทุกชนิด และลดอาหารที่มีกะทิ
3.ไม่ควรงดดื่มนม แต่ควรเลือกดื่มนมประเภทพร่องไขมัน หรือนมจืด
4.ออกกำลังกาย หรือเล่นกีฬา เพราะจะทำให้ได้ใช้พลังงานช่วยขัดไขมันออกไป
<<< ย้อนกลับ

ถัดไป>>>  

ติดต่อผู้จัดทำ  38 / 263 หมู่ 14 ต.บางหัวเสือ อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการฯ 10130 โทร0859429174    physical_18@hotmail.com        

โดยครูพีรวิชญ์  ศรีอ่อน  กศ.บ.พลศึกษา